รายงาน: คนจนเมืองคือใคร?

สังคมไทยกำลังเข้าสู่กระบวนการกลายเป็นเมือง (urbanization) มากขึ้นไปทุกขณะ และแน่นอนว่า ‘ความเป็นเมือง’ ย่อมเข้ามามีอิทธิพลกับเรามากขึ้นด้วยเช่นกัน ในอนาคตอันใกล้ คนไทยส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตภายใต้โครงสร้างและองค์ประกอบของเมืองในทุกๆ มิติของชีวิต ตั้งแต่การอยู่อาศัย การเดินทาง และการทำงาน

โดยทั่วไปเชื่อกันว่า การพัฒนาเมืองจะทำให้คุณภาพชีวิตของมนุษย์ดีขึ้น เนื่องจากเมืองจะเป็นศูนย์รวมของนวัตกรรมต่างๆ ที่จะทำให้ชีวิตผู้คนยกระดับได้ เช่น วิทยาการทางแพทย์ เทคโนโลยีการเดินทาง หรือระบบรักษาความปลอดภัยทั้งระบบ

อย่างไรก็ดี การขยายตัวของเมืองไม่ได้ส่งผลกระทบเชิงบวกเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากการพัฒนาดำเนินไปอย่างไม่สมดุล เมืองใหญ่ทั่วโลกต่างต้องเผชิญปัญหา ‘คนจนเมือง’

ปัญหา ‘คนจนเมือง’ เป็นปัญหาความยากจนรูปแบบใหม่ที่ต่างจากความยากจนแบบดั้งเดิมที่คนมักอยู่ในภาคเกษตรและชนบท และเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่บ่งบอกว่าการพัฒนาเมืองกำลังมีปัญหาความไม่เป็นธรรมและยั่งยืน

Knowledge Farm – ฟาร์มรู้สู่สังคม ขอชวนผู้อ่านมาสำรวจองค์ความรู้ว่าด้วย ‘คนจนเมือง’ ในประเทศไทยในเบื้องต้น ผ่านโครงการวิจัยชุดความเหลื่อมล้ำและคนจนเมือง (2560) โดย ดร.สุปรียา หวังพัชรพล และคณะ สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เพื่อไปดูกันว่า คนจนเมืองคือใครกันแน่

 

 

โดยทั่วไป การนิยามความจนมักนิยามจากมิติด้านรายได้เป็นสำคัญ แต่จากการสำรวจวรรณกรรมและลงพื้นที่เพื่อสำรวจความเห็นของผู้เชี่ยวชาญและกลุ่มคนจนเมือง นักวิจัยพบว่า การเป็นคนจนเมืองนั้นนิยามจากมิติอื่นๆ ได้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น จนหรือขาดแคลนโอกาส จนศักดิ์ศรีหรือการถูกลดทอนความเป็นมนุษย์ เป็นต้น

ดังนั้น การเข้าใจว่าคนจนเมืองเกิดจากการมีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ และอาศัยอยู่ตามชุมชนแออัดจึงไม่เพียงพอ และไม่สามารถทำให้เกิดความเข้าใจความเป็นอยู่ของคนจนเมือง และปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ได้อย่างลึกซึ้ง

ทั้งนี้ จากผลการศึกษา นักวิจัยได้จำแนกคนจนเมืองออกเป็น 4 กลุ่ม ซึ่งคนจนเมืองแต่ละกลุ่มเผชิญปัญหาความยากจน และมีวิถีชีวิตในมิติที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

 

1. กลุ่มคนจนเชิงรายได้

 

คนจนเมืองกลุ่มแรกถือว่าเป็นกําลังสําคัญในภาคเศรษฐกิจแบบไม่เป็นทางการของเมือง คนกลุ่มนี้มีรายได้ต่ำและมักถูกละเลยสิทธิที่จะอยู่ในเมือง (Right to the City) ขาดการรับรองและเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานที่จําเป็น ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย และพื้นที่ทํากินในเขตเมือง และมักจะถูกเบียดขับด้วยการไล่รื้ออยู่เสมอ

ด้วยเหตุนี้ คนจนเมืองกลุ่มนี้จึงมีวิถีชีวิตอยู่ในชุมชนแออัด อยู่รอดด้วยการบุกรุกที่ว่างเปล่า หรือสาธารณะต่างๆ เพราะไม่มีที่อยู่อาศัยและทำกินตั้งแต่ต้น เมื่ออยู่กันเป็นชุมชนแออัดแล้ว ก็มักจะขยายชุมชนใหญ่โต คนกลุ่มนี้ต้องเผชิญความขัดแย้งในรื่องการไล่รื้อพื้นที่ เพราะเมื่อมีการพัฒนาเมืองมากขึ้น เจ้าของที่ดินที่เล็งเห็นโอกาสในการพัฒนาพื้นที่จะเข้ามาไล่รื้อที่อาศัยของคนจนเมืองกลุ่มนี้ เมื่อชุมชนถูกไล่รื้อ คนกลุ่มนี้ก็ต้องบุกรุกพื้นที่ใหม่กลายเป็นปัญหาการไร้ที่อยู่ซ้ำซ้อน

ปัญหาการไร้ที่อยู่แบบซ้ำซ้อนทำให้คนกลุ่มนี้ติดอยู่ในกับดักความจน เพราะการย้ายที่อยู่และที่ทำกินบ่อยทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสในการสร้างรายได้เป็นระยะเวลานาน

 

2. กลุ่มชุมชนดั้งเดิมในพื้นที่

 

คนจนเมืองกลุ่มที่สองคือ กลุ่มชุมชนผู้อยู่อาศัยเดิม กลุ่มเกษตรกร กลุ่มอาชีพต่างๆ และชุมชนทางวัฒนธรรม ที่ได้รับผลกระทบเชิงลบจากการพัฒนาของภาครัฐและการลงทุนภาคเอกชนทั้งในทางตรงและทางอ้อม โดยที่ผลประโยชน์ในการพัฒนาหรือการลงทุนหลักนั้นกลับตกเป็นของคนนอกพื้นที่และนายทุนเสียเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่การเข้ามาของคนนอกยังทำให้คนในพื้นที่ดั้งเดิมสูญเสียที่ดินและทรัพยากรที่จําเป็นในการดำเนินวิถีชีวิตดั้งเดิมไป คนจนเมืองกลุ่มนี้มักปรากฏอยู่ในเมืองท่องเที่ยวหรือเมืองเขตเศรษฐกิจพิเศษ

สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนเมืองกลุ่มนี้ต้องกลายเป็นคนจนคือ การขาดอำนาจต่อรองในกระบวนการกำหนดการพัฒนาในพื้นที่ของตนเอง ยิ่งการพัฒนาเมืองดำเนินไปอย่างเข้มข้น พวกเขายิ่งเสียอำนาจให้กับนายทุนหรือคนนอกที่เข้ามาในพื้นที่

ปรากฏการณ์ที่พบเห็นได้ทั่วไปในกรณีนี้คือ การไล่รื้อที่ดินของคนในพื้นที่เพื่อนำไปทำโครงการก่อสร้างพื้นฐานต่างๆ เมื่อคนจนเมืองกลุ่มนี้เรียกร้องให้ทบทวนการพัฒนาที่กำลังเกิดขึ้น กลับมักจะได้รับเสียงวิจารณ์ว่า “เป็นพวกไม่เสียสละให้กับส่วนรวม”

 

3. กลุ่มแรงงานที่ย้ายเข้ามาในพื้นที่

 

คนจนเมืองกลุ่มที่สามคือ แรงงานในระบบและนอกระบบที่ย้ายเข้าสู่เมือง ซึ่งคนกลุ่มนี้ไม่ได้มีเฉพาะคนไทยจากชนบทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านด้วย

กลุ่มแรงงานที่ย้ายเข้าสู่เมืองมักขาดการรองรับด้านพื้นที่โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยและสวัสดิการทางสังคม รวมถึงโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน และการศึกษาที่มีคุณภาพสำหรับลูกหลาน ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ คนจนเมืองกลุ่มนี้มักถูกมองว่าแปลกแยก ไม่เข้าพวกกับคนในพื้นที่ และถูกกีดกัน จนทำให้พวกเขารู้สึกถึงความยากจนทางศักดิ์ศรีได้อีกด้วย

เมื่อคนเมืองกลุ่มนี้ย้ายเข้ามาทำงานและพบว่าไม่มีสวัสดิการด้านที่อยู่รองรับได้มากพอ พวกเขาจะจับกลุ่มรวมตัวกันหาที่อยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ในเมืองกลายเป็นชุมชนแออัด ซึ่งส่วนมากมักไปตั้งในพื้นที่มีเจ้าของอยู่ก่อนแล้วเกิดเป็นปัญหาชุมชนแออัดคล้ายกับคนจนเมืองกลุ่มที่หนึ่ง นอกจากนี้ การเกิดชุมชนแออัดในรูปแบบเฉพาะ เช่น ชุมชนแออัดของแรงงานข้ามชาติ ยังมีผลในการสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อคนเมืองกลุ่มอื่น ก่อเกิดเป็นการสร้างความแปลกแยก และการกีดกันคนจนกลุ่มนี้อีกต่อหนึ่ง

 

4. กลุ่มคนชายขอบ

 

คนชายขอบเป็นกลุ่มคนจนที่ยังไม่ได้รับสิทธิ โอกาส และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียม โดยเฉพาะยังไม่ได้รับการสร้างเสริมศักยภาพตามสิทธิที่พึงมีจากภาครัฐและสังคม ซึ่งส่งผลต่อความยากจนทางรายได้และด้านอื่นๆ ในงานวิจัยได้แบ่งคนจนกลุ่มนี้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ คนชายขอบทางสภาพร่างกาย และคนชายขอบทางสถานะทางสังคม

คนชายขอบทางสภาพร่างกาย หมายถึง กลุ่มผู้สูงอายุและผู้พิการ จากการสำรวจพบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรผู้สูงวัยเกิน 60 ปี มากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทำให้ในอนาคต ผู้สูงอายุจะเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของสังคม อย่างไรก็ดี จากข้อมูลในปี พ.ศ. 2557 พบว่า มากกว่าร้อยละ 34 ของผู้สูงอายุทั้งหมดมีชีวิตอยู่ใต้เส้นความยากจน (มีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 2,572 บาท) ซึ่งทำให้ประชากรกลุ่มนี้จะตกอยู่ในความเสี่ยงในการดำเนินชีวิตมากขึ้น

ส่วนสำหรับผู้พิการ ซึ่งมีจำนวนร้อยละ 3 ของประชากรทั้งประเทศ นักวิจัยพบว่า กลุ่มคนพิการจะเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ติดอยู่ในภาวะความจนอย่างมาก ข้อมูลในปี 2558 ชี้ว่าร้อยละ 42 ของกลุ่มคนพิการไม่ได้รับการศึกษา ครึ่งหนึ่งเป็นผู้สูงอายุและไม่ได้ทำงาน ทำให้ผู้พิการตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อความยากจน และประสบความลำบากในการดำเนินชีวิต

คนชายขอบทางสถานะสังคม มักจะมาจากกลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มเพศสภาพ และกลุ่มคนที่ประกอบอาชีพบริการทางเพศ ทั้งนี้ นักวิจัยได้ให้ความสนใจกับกลุ่มคนชายขอบจากการประกอบอาชีพบริการทางเพศโดยเฉพาะกลุ่มที่เข้ามาทำงานตามชายแดน เพราะเห็นว่าคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนที่มีความอ่อนไหวในแง่ภาพลักษณ์และการเปิดเผยตัวตนมากที่สุด คนกลุ่มนี้ประสบความความยากจนในหลายมิติ โดยเฉพาะในแง่ของศักดิ์ศรี พวกเขาไม่กล้าเปิดเผยตัวตน ว่าตนเป็นใคร และทำงานอะไร ที่สำคัญคือ ภาครัฐมักดูแคลนคนกลุ่มนี้จนทำให้เกิดการปฏิเสธการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานของรัฐอย่างเป็นระบบ ดังนั้น คนกลุ่มนี้จึงมีโอกาสน้อยมากที่จะหลุดจากความยากจน หรือมีคุณภาพชีวิตที่ดีเท่ากับกับคนกลุ่มอื่นๆ

 

การแบ่งกลุ่มคนจนเมืองเป็น 4 ประเภทช่วยให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาเมือง ความจน และคนจนเมือง รวมถึงทำให้เห็นความซับซ้อนในการมองปัญหาคนจนเมือง  คณะผู้วิจัยเสนอว่า เนื่องจากคนจนเมืองมีอยู่ทั่วทุกแห่งในสังคม และยังไม่ใช่กลุ่มคนที่มีลักษณะเหมือนกันในทุกมิติ ดังนั้น ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งศึกษาและจัดการปัญหาอย่างระมัดระวัง และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ปัญหาทีละพื้นที่หรือตามคนจนเมืองแต่ละกลุ่ม


ที่มา: โครงการวิจัยชุดความเหลื่อมล้ำและคนจนเมือง (2560) โดย ดร.สุปรียา หวังพัชรพล และคณะ สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)